บันทึกอนุทิน
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วัน/เดือน/ปี 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558
ครั้งที่ 5 กลุ่มเรียน 104 วันจันทร์
เวลาเข้าเรียน 12.20 - 15.50 น. ห้อง 435 อาคาร 4
กิจกรรมก่อนเข้าสู่บทเรียน : อาจารย์ให้นักศึกษาทำกิจกรรม ดังนี้
การสอนเด็กพิเศษและเด็กปกติ
ทักษะของครูและทัศนคติ
การฝึกเพิ่มเติม
สามารถนำความรู้ที่เรียนในวันนี้ไปปรับใช้ในการเรียนการสอนได้ เริ่มจากการมองเด็กให้เป็นเด็กก่อนไม่มองว่าเด็กพิเศษแปลกแยกจากเพื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมีการสังเกตการบันทึกพฤติกรรมของเด็กเป็นช่วงๆอย่างเป็นระบบ บันทึกตามความเป็นจริง ครูต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่กับเด็กสร้างความไว้วางใจกับเด็กเพราะถ้าเด็กไว้วางใจเด็กก็จะมีความพร้อมที่จะเรียนรู้
กิจกรรมก่อนเข้าสู่บทเรียน : อาจารย์ให้นักศึกษาทำกิจกรรม ดังนี้
อุปกรณ์
ภาพที่ 1
วิธีทำ ใส่ถุงมือในข้างที่ตนเองไม่ถนัดทาบลงบนกระดาษแล้ววาดเส้นตามโครงถุงมือ จากนั้น ให้วาดรูปมือที่อยู่ในถุงมือ วาดส่วนต่างๆของมือ(หลังมือ) เช่น เล็บ ขนมือ เส้นต่างๆ เป็นต้น
ภาพที่ 2
วิธีทำ ถอดถุงมือออกทาบมือลงบนกระดาษแล้ววาดรูป จากนั้น ให้วาดส่วนต่างๆของมือเหมือนรูปที่1 แต่ต่างกันตรงที่รูปที่2 ให้วาดรูปมือที่เห็นให้เหมือนจริงที่สุด
ความรู้ที่ได้รับจากกิจกรรม
ให้เปรียบกับมือที่เราเห็นทุกวันเราจำรายละเอียดได้ครบหรือเปล่า เด็กก็เหมือนกัน อย่าชะล่าใจว่าเราเห็นเด็กทุกวัน ทุกเทอมแล้วจะจำได้ ครูจะมองภาพรวมทั้งเทอมมาบันทึกในครั้งเดียวไม่ได้ควรบันทึกพฤติกรรมพัฒนาการของเด็กเป็นช่วงๆ บันทึกสิ่งที่เด็กทำอย่างสม่ำเสมอทำให้เป็นระบบ
เปรียบเสมือนรูปมือภาพที่2 การที่บันทึกจากสิ่งที่เห็นจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า การบันทึกที่ดีที่สุด คือ การบันทึกเป็นช่วงๆ สังเกตพฤติกรรมเด็กแล้วบันทึกตามในสิ่งที่เห็น เพราะอาจจะลืมแล้วทำให้เก็บรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน
การสอนเด็กพิเศษและเด็กปกติ
ทักษะของครูและทัศนคติ
การฝึกเพิ่มเติม
- อบรมระยะสั้น , สัมมนา
- สื่อต่าง ๆ ( หนังสือ , โทรทัศน์ครู , VDO , อินเทอร์เน็ต )
การเข้าใจภาวะปกติ
- เด็กมักคล้ายคลึงกันมากกว่าแตกต่าง
- ครูต้องเรียนรู้ , มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กปกติและเด็กพิเศษ
- รู้จักเด็กแต่ละคน
- มองเด็กให้เป็น " เด็ก "
การคัดแยกเด็กที่มีพัฒนาการช้า
- การเข้าใจพัฒนาการของเด็ก จะช่วยให้ครูสามารถมองเห็นความแตกต่างของเด็กแต่ละคนได้ง่าย
การพร้อมของเด็ก
- วุฒิภาวะ
- แรงจูงใจ
- โอกาส
การสอนโดยบังเอิญ
- ให้เด็กได้เป็นฝ่ายเริ่ม
- เด็กเข้าหาครูมากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสในการสอนมากขึ้นเท่านั้น
- ครูต้องพร้อมที่จะพบเด็ก
- ครูต้องมีความสนใจเด็ก
- ครูต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อเด็ก
- ครูต้องมีอุปกรณ์และกิจกรรมล่อใจเด็ก
- ครูต้องมีความตั้งใจจริงในการช่วยให้เด็กแต่ละคนได้เรียนรู้
- ครูต้องใช้เวลาในการติดต่อไม่นาน
- ครูต้องทำให้เป็นเรื่องสนุกสนาน
อุปกรณ์
- มีลักษณะง่าย ๆ
- ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง
- เด็กพิเศษได้เรียนรู้จากการสังเกตและเลียนแบบเด็กปกติ
- เด็กปกติเรียนรู้ที่จะให้ความช่วยเหลือเด็กพิเศษ
ตารางประจำวัน
- เด็กพิเศษไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ
- กิจกรรมต้องเรียงลำดับเป็นขั้นตอนและทำนายได้
- เด็กจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ
- การสลับกิจกรรมที่อยู่เงียบๆ กับกิจกรรมที่เคลื่อนไหวมากๆ
- คำนึงถึงความพอเหมาะของเวลา
ทัศนคติของครู
ความยืดหยุ่น
- การแก้แผนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- ยอมรับขอบเขตความสามารถของเด็ก
- ครูต้องตอบสนองต่อเป้าหมายที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กแต่ละคน
การใช้สหวิทยาการ
- ใจกว้างต่อคำแนะนำของบุคคลในอาชีพอื่นๆ
- สร้างความสัมพันธ์ระหว่างการบำบัดกับกิจกรรมในห้องเรียน
เด็กทุกคนสอนได้
- เด็กเรียนไม่ได้เพราะไร้ความสามารถ
- เด็กเรียนไม่ได้เพราะขาดโอกาส
เทคนิคการให้แรงเสริม
แรงเสริมทางสังคมจากผู้ใหญ่
- ความสนใจของผู้เรียนที่มีต่อเด็กนั้นสำคัญมาก
- มีแนวโน้วจะเพิ่มพฤติกรรมที่ดีของเด็ก และมักเป็นผลในทันที
- หากผู้ใหญ่สนใจพฤติกรรมที่ดีนั้นๆ ก็จะลดลงและหายไป
วิธีการแสดงออกถึงแรงเสริมจากผู้ใหญ่
- ตอบสนองด้วยวาจา
- การยืนหรือนั่งใกล้เด็ก
- พยักหน้ารับ ยิ้ม ฟัง
- สัมผัสทางกาย
- ให้ความร่วมมือ , ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
หลักการให้แรงเสริมในเด็กปฐมวัย
- ครูต้องให้แรงเสริมทันทีที่เด็กมีพฤติกรรมอันพึงประสงค์
- ครูต้องละเว้นความสนใจทันทีและทุกครั้งที่เด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
การแนะนำหรือบอกบท ( prompting )
- ย่อยงาน
- ลำดับความยากง่ายของงาน
- การลำดับงานเป็นการเสริมแรงเพื่อให้เด็กค่อยๆก้าวไปสู่ความสำเร็จ
- การบอกบทจะค่อยๆน้อยลงตามลำดับ
ขั้นตอนการให้แรงเสริม
- สังเกตและกำหนดจุดมุ่งหมาย
- วิเคราะห์งาน กำหนดจุดประสงค์ย่อยๆในงานแต่ละชั้น
- สอนจากง่ายไปยาก
- ให้แรงเสริมทันทีเมื่อเด็กทำได้หรือเมื่อเด็กพยายามอย่างเหมาะสม
- ลดการบอกบท เมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะก้าวำไปขั้นต่อไป
- ให้แรงเสริมเฉพาะพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่สุด
- ทีละขั้น ไม่เร่งรัด " ยิ่งขั้นเล็กเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น "
- ไม่ดุหรือตี
การกำหนดเวลา
- จำนวนและความถี่ของแรงเสริมที่ให้กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กต้องมีความเหมาะสม
ความต่อเนื่อง
- พฤติกรรมทุกๆอย่างในชีวิตปรำจำวันต่อเนื่องกันระหว่างพฤติกรรมย่อยๆหลายๆอย่างรวมกัน
- เช่น การเข้าห้องน้ำ การนอนพักผ่อน การหยิบและเก็บของ การกลับบ้าน
- สอนแบบก้าวไปข้างหน้าหรือย้อนมาจากข้างหลัง
เด็กตักซุป
- การจับช้อน
- การตัก
- การระวังไม่ให้น้ำในช้อนหกก่อนจะเข้าปาก
- การเอาช้อนและซุปเข้าปากแทนที่จะทำให้หกรดคาง
- การเอาซุปออกจากช้อนเข้าสู่ปาก
การลดหรือหยุดแรงเสริม
- ครูจะงดแรงเสริมกับเด็กที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
- ทำอย่างอื่นและไม่สนใจเด็ก
- เอาอุปกรณ์หรือของเล่นออกจากเด็ก
- เอาเด็กออกจากการเล่น
ความคงเส้นคงวา
- ต้นเทอมเป็นอย่างไรท้ายเทอมเป็นอย่างนั้น
ท้ายชั่วโมง อาจารย์ให้นักศึกร่วมกันตอบคำถาม มีหัวข้อดังนี้
- การสอนโดยบังเอิญหมายความว่าอย่างไร
- การสอนโดยบังเอิญครูต้องพึงปฏิบัติอย่างไร
- ตารางประจำวันของเด็กควรเป็นอย่างไร
- การให้แรงเสริมต่อเด็ก มีวิธีการอย่างไรบ้าง
การนำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำความรู้ที่เรียนในวันนี้ไปปรับใช้ในการเรียนการสอนได้ เริ่มจากการมองเด็กให้เป็นเด็กก่อนไม่มองว่าเด็กพิเศษแปลกแยกจากเพื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมีการสังเกตการบันทึกพฤติกรรมของเด็กเป็นช่วงๆอย่างเป็นระบบ บันทึกตามความเป็นจริง ครูต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่กับเด็กสร้างความไว้วางใจกับเด็กเพราะถ้าเด็กไว้วางใจเด็กก็จะมีความพร้อมที่จะเรียนรู้
- ตนเอง : เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย จดบันทึกเนื้อหาเพิ่มเติม ให้ความร่วมมือในการร้องเพลงและตอบคำถาม
- เพื่อน : เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย เพื่อนๆ ทุกคนตั้งใจทำกิจกรรมวาดรูปมือของตนเอง และให้ความร่วมมือในการร้องเพลงเป็นอย่างดีได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าเป็นกลุ่มที่ร้องเพลงเพราะ
- อาจารย์ : เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีกิจกรรมให้นักศึกษาทำเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบกับเนื้อหาที่สอนทำให้เข้าใจมากขึ้น อาจารย์สอนเนื้อหาได้ชัดเจนและเพิ่มเติมในส่วนที่นอกเหนือจากเนื้อหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น